|
|||||||
ความหมาย เอดส์ มีต้นตอจากคำย่อภาษาอังกฤษ คือ AIDS ซึ่งเป็นคำย่อของคำว่า Acquired Immunodeficiency Syndrome โดยมีความหมายดังนี้ Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นในภายหลัง มิได้เป็นมาแต่กำเนิด หรือ สืบสายเลือดทางพันธุกรรม ดังนั้นเอดส์จึงหมายถึง กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม โดยที่คณะอนุกรรมการบัญญัติศัพท์แพทย์ของราชบัณฑิตยสถาน ได้ประชุมกันแล้วเห็นว่าคำว่า "เสื่อม" นั้น หมายถึง สิ่งที่เคยดีมาก่อนอยู่แล้วเกิดขาดพร่องไปในภายหลัง ซึ่งน่าจะตรงกับคำว่า Acquired มากกว่าคำว่า "บกพร่อง" ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าขาดตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดมาขาดในภายหลัง (ประเสริฐ, 1988) เอดส์ เป็นภาวะภูมิคุ้มกันเสื่อมในคนที่เคยมีสุขภาพแข็งแรงมาก่อน ทำให้มีการติดเชื้อจุลชีพ ซึ่งปกติจะอยู่ร่วมกันกับร่างกายมนุษย์โดยไม่ก่อโรค เอดส์ เป็นลักษณะของภูมิคุ้มกันชนิดเซล (Cell-mediated immunity) เสียไป จึงทำให้เกิดลักษณะทางคลินิกที่รุนแรง และที่พบบ่อยคือการติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infection) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อนิวโมซิสติส คารินิไอ (Pneumocystis carinii) ที่ปอด หรือมะเร็งที่ปกติไม่พบในคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปี คือมะเร็งแคโปสิ ซาร์โคมา (Kaposi's sarcoma) ศูนย์ควบคุมโรค (Centers for Disease Control) ของสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดความหมายของคำว่า เอดส์ เป็นครั้งแรกใน พ.ศ.2525 ว่าเป็นภาวะภูมิคุ้มกันชนิดเซลเสื่อม ทำให้เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสและมะเร็งบางอย่างง่าย โดยที่ผู้ป่วยคนนั้นยังไม่สูงอายุเกินไปที่ภูมิคุ้มกันจะเสื่อม หรือได้รับยาที่กดภูมิคุ้มกันอยู่เดิม หรือเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อมแบบปฐมภูมิ (Primary immune deficiency) หลังจากมีการทดสอบแอนติบอดี้ เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกาได้นำเอาผลของการตรวจนั้น เข้ามาประกอบในการวินิจฉัยเอดส์ด้วย โดยแบ่งเป็น 3 กรณี คือ กรณีที่ไม่มีผลการตรวจแอนติบอดี้ต่อเอชไอวี กรณีที่แอนติบอดี้ต่อเอชไอวีให้ผลบวกและกรณีที่แอนติบอดี้ต่อเอชไอวีให้ผลลบ แต่ยังน่าที่จะเป็นเอดส์อยู่ โดยได้ปรับปรุงความหมายของเอดส์ใน ปี พ.ศ.2530 โดยกำหนดรายชื่อโรคติดเชื้อฉวยโอกาส มะเร็งบางชนิด อาการทางจิตประสาท และอาการผอมแห้ง (Wasting syndrome) ร่วมกับท้องร่วง ที่จะใช้วินิจฉัยว่าเป็น เอดส์เต็มขั้น โดยได้ให้คำนิยามของโรคต่าง ๆ และวิธีการวินิจฉัยไว้อย่างชัดเจน เอดส์ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human immumnodeficiency virus) ไวรัสนี้จะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ไม่สามารถป้องกันภยันตรายจากโรคติดเชื้ออื่น ๆ หรือโรคมะเร็งบางชนิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดเชื้อ หรือโรคมะเร็งประเภทฉวยโอกาส ผู้ป่วย เอดส์มักจะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว เอดส์ คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน หรือกลไกต่อต้านเชื้อโรคของร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันลดน้อยลงหรือไม่มีเลย ร่างกายจึงติดเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ได้ง่ายแม้กระทั่งเชื้อที่พบทั่วไปในธรรมชาติและไม่ทำอันตรายต่อคนปกติ ก็จะเป็นอันตรายสำหรับผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่มีระบบภูมิคุ้มกันลดน้อยลง นอกจากนี้ยังอาจพบอาการของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งผิวหนังบางชนิดที่ปกติไม่พบบ่อย ความเจ็บป่วยเหล่านี้อาจมีความรุนแรงและทำให้ตายได้ สรุปได้ว่า เอดส์ หมายถึง กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันชนิดเซลเสื่อมที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ทำให้เกิดโรคจากเชื้อฉวยโอกาส เช่น นิวโมซิสติส คารินิไอ มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งแคโปสิซาร์โคมาในคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปี มีอาการทางจิตประสาท และอาการผอมแห้งร่วมกับท้องร่วง ความเป็นมา ได้มีรายงานในวงการแพทย์เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับโรคเอดส์ ในเดือนมิถุนายน 2524 ในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2523 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2524 พบโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสคารินิไอ ในชายรักร่วมเพศ 5 คน ในโรงพยาบาล 3 แห่ง ของเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งโรคนี้พบได้น้อยมากในคนที่สุขภาพดี ชายทั้ง 5 คนนี้เคยเป็นคนแข็งแรงดีมาก่อน ไม่มีประวัติรับยากดภูมิคุ้มกันและจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า ภูมิคุ้มกันชนิดเซลเสียไปด้วย
การศึกษาย้อนหลังพบว่าโรคเอดส์ เริ่มปรากฏในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2521 แล้ว แต่เพิ่งจะมารายงานในปี 2524 และถ้าศึกษาซีรั่มที่เก็บย้อนหลังไปนานๆ จะพบว่าในประเทศอัฟริกาเองก็พบหลักฐานของการติดเชื้อโรคเอดส์ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2513 (ประพันธ์, 2532) และในขณะที่รายงานโรค เอดส์เป็นครั้งแรก ในสหรัฐอเมริกานั้น ประเทศอื่น ๆ ในแถบอื่น ก็มีผู้ป่วยเช่นเดียวกัน (วิวัฒน์, 2532) เช่น ในทวีปยุโรป ภายหลังที่มีข่าวระบาดของโรคในสหรัฐอเมริกา จึงได้มีการตื่นตัวเฝ้าระวังโรค โดยการศึกษาย้อนหลังในประเทศฝรั่งเศส พบผู้ป่วยเอดส์ รายแรกในปี 2522 ส่วนในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์นั้น พบผู้ป่วย เอดส์ รายแรกในปี 2525 ในประเทศญี่ปุ่นรายงานผู้ป่วยเอดส์ รายแรกเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2528 สำหรับในประเทศไทยเริ่มมีการรายงานผู้ป่วย เอดส์ครั้งแรกจากโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2527 นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลา 2 ปี จึงทราบว่าโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส และอีก 2 ปีต่อมา คือในปี 2528 จึงสามารถคิดค้นวิธีการตรวจหาแอนติบอดี้ต่อเชื้อไวรัสโดยวิธีอีไลซ่า การระบาด การระบาดของโรคเอดส์ ที่แพร่กระจายไปอย่างมากมายในปัจจุบันนั้น สามารถแยกออกเป็นการระบาด 3 ครั้งติดต่อกัน คือ 1. การระบาดของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจะเริ่มระบาดเมื่อไร และจากที่ใดแต่ที่แน่ๆ คือ เชื้อไวรัสได้แพร่ไปหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ประมาณปี 2518 และปัจจุบันนี้อาจจะแพร่ไปทุกประเทศแล้ว 2. การระบาดของโรคเอดส์ ประมาณปี 2520-2521 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการแสดงออกทางอาการเจ็บป่วยของผู้ติดเชื้อ หลังจากมีระยะฟักตัวช่วงระยะเวลาหนึ่ง และในช่วงปี 2525-2530 การระบาดเริ่มเป็นแบบกระจายทั่ว (Pandemic) กล่าวคือระบาดไปหลายๆ ประเทศพร้อมกัน และกระจายไปหลาย ๆ ประเทศพร้อมกัน และกระจายไปในทุกทวีป 3. การระบาดของผลกระทบที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการระบาดของโรค เอดส์ ได้แก่ ด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การระบาดนี้แพร่ไปได้อย่างรวดเร็ว และมีผลกระทบแม้ในประเทศที่ไม่เคยมีรายงานการติดเชื้อหรือรายงานผู้ป่วย เอดส์เลย ผลกระทบที่สำคัญได้แก่ การไล่ผู้ติดเชื้อออกจากงาน การไม่ยอมรับสมาชิกที่เป็นผู้ป่วย หรือผู้ติดเชื้อเข้าในครอบครัวหรือชุมชน การไม่ยอมรับเด็กที่ติดเชื้อเข้าศึกษาในโรงเรียน ตลอดจนการออกฎหมายให้มีการตรวจ เอดส์ ก่อนเข้าประเทศ เพื่อสกัดกั้นคนจากประเทศอื่น ที่อาจติดเชื้อ เป็นต้น การระบาดของโรคเอดส์ แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ การระบาดรูปแบบที่ 1 เป็นลักษณะการระบาดในประเทศอุตสาหกรรมที่มีรายงานผู้ป่วย เอดส์เป็นจำนวนมาก ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา แม็กซิโก แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ส่วนหนึ่งของลาตินอเมริกา และประเทศแถบยุโรปตะวันตก ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชายรักร่วมเพศ (gay) หรือชายรักสองเพศ (bisexual) และติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด อัตราส่วนของผู้ป่วยชายต่อหญิงเท่ากับ 10:1 ถึง 5:1 การระบาดรูปแบบที่ 2 เป็นการระบาดที่พบในอัฟริกากลาง อัฟริกาตะวันออก และอัฟริกาใต้ และพบในบางส่วนของลาตินอเมริกา การระบาดของโรคเอดส์ จะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์แบบรักต่างเพศเป็นส่วนใหญ่ อัตราส่วนผู้ป่วยชายต่อหญิง ประมาณ 1:1 การระบาดรูปแบบที่ 3 เป็นการระบาดที่พบใน ยุโรปตะวันออก อัฟริกาเหนือ ประเทศแถบตะวันออกกลาง เอเชีย และประเทศส่วนใหญ่แถบแปซิฟิก รวมถึงออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์จำนวนผู้ป่วยที่รายงานมีจำนวนน้อย ลักษณะผู้ป่วยที่รายงานมีทั้ง 2 แบบ คือ ในรูปแบบของการระบาดที่ 1 และที่ 2 การระบาดในรูปแบบที่ 1 และ 2 นั้นเริ่มในปลายทศวรรษ 1970 ส่วนการแพร่กระจายเชื้อในรูปแบบที่ 3 นั้น เริ่มในต้นหรือกลางทศวรรษ 1980 การระบาดของโรคเอดส์ในประเทศไทย แบ่งได้เป็น 5 ระยะ ระยะที่ 1 ในช่วงทศวรรษ 2520 เป็นระยะที่โรคเอดส์คงถูกนำเข้ามาในประเทศ การระบาดของเชื้อเอดส์คงจำกัดในกลุ่มคนจำนวนน้อย และมีพฤติกรรมพิเศษ เช่น ในกลุ่มชายรักร่วมเพศ เริ่มตรวจพบผู้ป่วยเอดส์บ้าง แต่เกือบทั้งหมดเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ ระยะที่ 2 การระบาดของโรค เอดส์ครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2531 พบในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดโดยอัตราความชุก และการติดเชื้อ เอดส์ ในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากต่ำกว่าร้อยละ 1 ในปลายปี พ.ศ.2530 เป็นสูงกว่าร้อยละ 40 ในช่วงปลายปี พ.ศ.2531 มีการคาดคะเนว่าการระบาดครั้งนี้ อาจมีความสัมพันธ์กับการปล่อยผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดจำนวนมาก ออกจากเรือนจำในช่วงปลายปี พ.ศ.2530 ระยะที่ 3 การระบาดของโรค เอดส์ครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2532 ในกลุ่มหญิงบริการทางเพศเชื่อว่าการติดเชื้อเอดส์ ในกลุ่มนี้ น่าจะเกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดรักต่างเพศ จากการเฝ้าระวังผู้ติดเชื้อ เอดส์เฉพาะพื้นที่ในเดือนมิถุนายน 2532 มีการตรวจพบอัตราความชุกของหญิงบริการทางเพศสูงถึงร้อยละ 44 การสำรวจต่อมาในกลุ่มนี้ คงพบแนวโน้มของการติดเชื้อเอดส์สูงขึ้นเรื่อยๆ และตรวจพบบนทุก ๆ ภาคตามมาในปี พ.ศ.2533 ระยะที่ 4 การระบาดของโรค เอดส์ในกลุ่มชายที่เที่ยวหญิงบริการ พ.ศ.2533 คาดว่าจะมีประชาชนที่เป็นชายที่อยู่ในวัยที่จะเที่ยวได้ ประมาณ 13-25 ล้านคน ในจำนวนนี้อย่างน้อยร้อยละ 50 เคยเที่ยวหญิงบริการ จากข้อมูลการสำรวจอัตราความชุกของการติดเชื้อ เอดส์ในกลุ่มชายที่มาขอตรวจกามโรคสูงถึงร้อยละ 4.2 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดได้อย่างดีการแพร่ระบาดในกลุ่มนี้จะยังคงดำเนินควบคู่ไปกับกลุ่มหญิงบริการ หากค่านิยมและพฤติกรรมการเที่ยวหญิงบริการยังไม่เปลี่ยนแปลง ระยะที่ 5 เป็นระยะที่คาดว่าอีก 5-20 ปี จะพบการระบาดของเชื้อเอดส์ในหญิงทั่วไป คือ หญิงที่กำลังจะแต่งงานหรือหญิงที่เป็นแม่บ้านและลูกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ เอดส์ หากไม่มีการป้องกันที่ดี โรคที่มากับเอดส์ โรคฉวยโอกาส (Opportunistic Infectione-OIs) คือโรคที่จะค่อยเกิดกับคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์ดี โรคฉวยโอกาสที่มักพบในผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีดังนี้
1.โรคราในปาก (Candidiasis) เป็นการติดเชื้อจำพวกราในบริเวณช่องปาก ลำคอ และในช่องคลอด การติดต่อ ในทางระบาดวิทยาของโรคติดเชื้อนั้น ต้องพิจารณาถึงตัวที่เป็นแหล่งอาศัยของเชื้อ (reservior) ทางที่เชื้อออก ทางที่เชื้อเข้า และตัวที่เป็นแหล่งให้เชื้อเข้าไปอยู่ (host) ดังนั้นการติดต่อ คือ การที่เชื้อออกจากพาหะนำโรค ไปเข้าอยู่ในแหล่งใหม่ สำหรับโรคเอดส์ แหล่งอาศัยของเชื้อ คือ "คน" เมื่อสารน้ำที่ออกจากผู้ที่ติดเชื้อ เช่น เลือด น้ำอสุจิ หรือน้ำคัดหลั่งจากช่องคลอด สู่สิ่งแวดล้อมภายนอก เชื้อจะไม่มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมงก็จะตาย แมลงต่าง ๆ รวมทั้งยุงไม่ใช่แหล่งอาศัย หรือ ตัวพาหะนำโรคดังนั้นโรคเอดส์ สามารถติดต่อกันได้หลายทาง ได้แก่ 1. ทางเพศสัมพันธ์ (sexual transmission) 1. การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 2. การติดต่อทางเลือด ในระยะแรกของการระบาดของโรคเอดส์ในสหรัฐอเมริกา พบว่ากลุ่มผู้ป่วยฮีโมฟีเลียมีการติดเชื้อเอดส์สูง เนื่องจากกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดที่ขาดไป คือ factor VIII ซึ่งขั้นตอนในการเตรียมนั้นทำได้โดยสกัดเอา Factro VIII จากพลาสม่า ซึ่งอาจต้องใช้พลาสม่ามากกว่า 1 ยูนิต นั่นคือใช้เลือดจากผู้บริจาคมากกว่า 1 คน โอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อเอดส์จึงมีมากขึ้น จากการรายงานของศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา พบว่าในปี พ.ศ.2531 มีผู้ป่วยเอดส์จากการรับเลือดจำนวน 377 ราย พบว่าเป็นผู้ป่วยที่ได้รับเลือดหลังปี พ.ศ.2528 เพียง 14 รายเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ.2532 พบว่าผู้ป่วยเอดส์จากการรับเลือดเพิ่มขึ้นเป็น 793 ราย ทั้งนี้อาจเนื่องจากเป็นการติดเชื้อตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นระยะแฝงของโรค เพราะตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 เป็นต้นมา ได้มีการตรวจเลือดก่อนให้ผู้ป่วยทุกราย แต่ข้อจำกัดของการตรวจหาแอนติบอดี้ต่อเชื้อเอชไอวีในช่วงที่ผู้ป่วยเริ่มรับเชื้อ จนถึงช่วงก่อนการที่ร่างกายผู้ป่วยจะสร้างแอนติบอดี้ (Windowperiod) ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เวลา 2-3 เดือนหลังจากได้รับเชื้อแต่บางรายอาจใช้เวลานานถึง 3 ปีครึ่งหรือบางรายอาจนานกว่า 8 ปี นั่นคือ ช่วงที่ตรวจอาจเป็นช่วง "window period" จึงทำให้ผลเลือดเป็นลบปลอม สำหรับในประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ.2530 มีคณะผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกมาวิเคราะห์ และประเมินโครงการโรคเอดส์ เพื่อจะให้การสนับสนุนโครงการระยะสั้นของไทย และได้แสดงความคิดเห็นว่า ประเทศไทยยังไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดทุกขวด เพราะสิ้นเปลืองมาก แต่ในความเป็นจริงสำหรับประเทศไทยนั้น ผู้ที่บริจาคเลือดมักเป็นผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีด และผู้ต้องขัง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ติดยาเสพติด และเป็นช่วงที่มีการปล่อยผู้ติดยาเสพติดจำนวนมาก ออกจากเรือนจำ ร่วมกับมีข่าวของคุณฉะอ้อน เสือสุ่ม ซึ่งเป็นผู้ป่วยเอดส์ ที่เกิดจากการรับเลือดคนแรกของประเทศไทย ทำให้ผู้แทนฝ่ายไทยไม่ยินยอมตามคำแนะนำ จะขอตรวจเลือดทุกขวดทั่วประเทศ เพื่อความปลอดภัยของผู้รับเลือด (วิวัฒน์, 2534) ศูนย์บริการโลหิตสภากาชาดไทย จึงได้ตรวจเลือดทุกหน่วยตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2530 (จันทพงษ์, 2531) ในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเอดส์สูงมากจากการใช้เข็ม และกระบอกฉีดยาร่วมกัน เนื่องจากต้องการแสดงความเป็นเพื่อนตายร่วมสายเลือด และต้องการแสดงว่าเป็นพวกเดียวกัน บางคนไม่สามารถหาเข็ม และกระบอกฉีดยาแยกใช้เฉพาะตัวได้ เนื่องจากไม่มีเงิน หรือช่วงที่อยากยามาก ๆ หรือเสี้ยนยานั้นจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ดังนั้นหากคนแรกติดเชื้อ คนที่สองซึ่งนำเอาเข็มที่คนแรกใช้แล้วมาใช้อีก ก็จะติดเชื้อโดยตรงจากเลือดของคนแรกที่ติดอยู่ปลายเข็มนั้น สำหรับการผสมเทียมนั้น พบอุบัติการณ์การนำเชื้ออสุจิที่ติดเชื้อเอชไอวี เข้าไปผสมเทียมแล้วในสหรัฐอเมริกา แต่ในประเทศไทยยังไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว แวนโวริส และคณะ ได้ศึกษาเชื้อไวรัสในน้ำอสุจิ โดยนำเลือดและน้ำอสุจิจากชายรักร่วมเพศที่ติดเชื้อเอดส์ จำนวน 25 ราย มาศึกษา โดยวิธี Polymerase chain reaction พบมียีโนมของไวรัสเอชไอวี ในน้ำอสุจิเพียง 1 รายเท่านั้น แต่เมื่อทำการเพาะเชื้อเป็นเวลา 1 เดือน พบ 4 รายใน 24 ตัวอย่าง จากการที่พบเชื้อเอชไอวีในน้ำอสุจิในอัตราที่ต่ำ คณะผู้วิจัยคิดว่า เชื้อเอชไอวี อาจติดอยู่ในเม็ดเลือดขาวในน้ำอสุจิ ซึ่งถ้าเป็นจริงดังที่ผู้วิจัยคิด ก็อาจจะแยกเม็ดเลือดขาวออกจากน้ำอสุจิ ก่อนที่จะนำน้ำอสุจิที่เหลือ แต่ตัวอสุจิไปผสมเทียม ซึ่งทำให้การผสมเทียมปลอดภัยจากเชื้อเอชไอวีมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน แต่ไม่สอดคล้องกับการศึกษาของ สคอฟิลค์ และ คณะ ที่รายงานผลการวิจัยในการประชุมเอดส์นานาชาติครั้งที่ 7 ที่อิตาลี ว่าตัวอสุจิไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวีทางอ้อม โดยการกระตุ้นเซลอื่น ๆ และทำให้เซลนั้นถูกไวรัสเอชไอวีรุกรานได้เท่านั้น ตัวอสุจิยังเป็นตำแหน่งที่ไวรัสจะเกาะติดด้วย 3. การติดต่อจากแม่ไปสู่ลูก จากการติดต่อทั้ง 3 วิธีที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นว่าสารน้ำในร่างกายผู้ป่วยที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อเอชไอวี ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอดและมดลูก และน้ำนม จากการศึกษาพบว่าในเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซัยท์ แซลสมอง เลือดและน้ำอสุจิมีเชื้อเอชไอวีอยู่มากสุด รองลงมา คือ สารคัดหลั่งจากช่องคลอดและมดลูก ส่วนในน้ำนมนั้นพบเชื้อเพียงเล็กน้อย นอกจากสารน้ำในร่างกายดังกล่าวแล้ว ยังสามารถพบเชื้อเอชไอวีในสารน้ำต่อไปนี้ได้ ในปริมาณน้อยมากจนไม่มีความสำคัญในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ได้แก่ สารน้ำจากจมูก เสมหะ เหงื่อ น้ำตา อุจจาระ ปัสสาวะ อาเจียน และน้ำลายดังนั้นโรคเอดส์ จึงไม่สามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นจากการสัมผัสทั้งที่โรงเรียน ที่ทำงาน หรือที่บ้าน จากการรับประทานอาหารร่วมกัน การใช้ห้องน้ำร่วมกัน และการจับมือกับคนที่มีเชื้อโรคเอชไอวี นอกเสียจากผู้ที่ไปสัมผัสนั้นมีแผลหรือรอยถลอกของผิวหนัง ซึ่งเป็นทางให้เชื้อเข้าได้ อีกทั้งยุงไม่สามารถนำเชื้อเอชไอวีได้ นั่นคือ โรคเอดส์ไม่สามารถแพร่กระจายอย่างบังเอิญในการอยู่ร่วมกันในสังคม อาการ ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวีจะปรากฎอาการที่แตกต่างกัน มีตั้งแต่ไม่ปรากฎอาการเลยไปจนถึงมีอาการของมะเร็ง หรือโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่ร้ายแรง จนทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การจัดแบ่งระยะต่าง ๆ ของการติดเชื้อโรคเอดส์ จึงเป็นประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วย ในการพยากรณ์โรคได้แน่นอนมากขึ้น รวมถึงประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพยาธิกำเนิด การดำเนินของโรค การทดลองยาและวัคซีนด้วย ดังที่ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา ได้แบ่ง ระยะการติดเชื้อโรคเอดส์ ออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน (primary HIV infection) โดยมีอาการคล้ายเป็นหวัด สำหรับในประเทศไทย กองระบาดวิทยาร่วมกับกองโรคเอดส์ เป็นแกนประสานความร่วมมือกับนักวิชาการจากสถาบันต่าง ๆ ได้แบ่งระยะการติดเชื้อโรคเอดส์ออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ อย่างไรก็ตามการที่แบ่งระยะการติดเชื้อโรคเอดส์ดังกล่าวนั้น มิใช่หมายความว่า การเป็นโรคเอดส์ จะเริ่มจากระยะติดเชื้อโดยไม่ปรากฎอาการ แล้วกลายเป็นผู้ติดเชื้อที่ปรากฎอาการ จากนั้นจึงกลายเป็นเอดส์ตามลำดับ ดังตัวอย่างผู้ป่วยติดเชื้อโดยไม่มีอาการอยู่เป็นระยะเวลานาน ต่อมาเกิดอาการปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติส คารินิไอ ถ้าพิจารณาตามการแบ่งระยะของศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา นั้นคือ การก้าวหน้าของโรคจากระยะที่ 2 คือ ระยะติดเชื้อโดยไม่มีการอาการไม่เป็นระยะที่ 4 กลุ่มย่อย C1 คือ ระยะเป็นเอดส์ กลุ่มติดเชื้อฉวยโอกาสที่เฉพาะเจาะจง เป็นต้น (Beuafoy et a., 1988) จากรายงานของศูนย์ควบคุมการติดเชื้อของสหรัฐอเมริกาพบว่า ร้อยละ 20 - 30 ของผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่มีอาการ จะกลายเป็นเอดส์ในเวลา 5 ปี อีกร้อยละ 20 - 50 จะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (กรมควบคุมโรคติดต่อ, 2530) นั่นคือ ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้กลายเป็นผู้ป่วยเอดส์ทุกราย วิธีป้องกัน สารเคลือบช่องคลอด ช่วยลดความความเสี่ยงของการติดเชื้อและการแพร่เชื้อ ทั้งเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพสสัมพันธ์อื่นๆได้มากพอสมควร สารนี้ช่วยทำลายเชื้อจุลลินทรีย์ หรือขัดขวางการติดเชื้อหรืออักเสบ ไม่ให้เกิดขึ้นในบริเวณนั้นๆผู้ใช้จะสามารถควบคุมการติดต่อของโรคได้ด้วยตัวเอง ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังค้นคว้าทดลองเพื่อพัฒนาสารเคลือบช่องคลอดให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันเชื้อเอชไอวี การตรวจหาเชื้อ การตรวจวินิจฉัยหาภูมิต่อเชื้อ HIV สามารถทำได้หลายวิธี การตรวจที่ให้ผลเร็วสามารถตรวจจากเลือด น้ำลาย และปัสสาวะ ก่อนการตรวจเลือดผู้ป่วยควรได้รับการปรึกษาถึงผลดีและผลเสียของการตรวจรวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นจากการตรวจ เช่น ความรู้สึกกลัวหรือซึมเศร้า ปัญหาทางสังคมที่อาจจะเกิดขึ้น ปัญหาการจ้างงาน ปัญหาการประกันชีวิต ปัญหาการยอมรับของครอบครัว เป็นต้นแต่การตรวจเลือดหาภูมิต่อเชื้อ HIV มักจะปิดชื่อของผู้รับการตรวจทำให้ปัญหาต่างลดลง การตรวจวิธีนี้มีข้อควรระวังคือหลังจากได้รับเชื้อจะมีช่วงหนึ่งที่ตรวจเลือดยังไม่พบภูมิต่อเชื้อ HIV เราเรียกช่วงนี้ว่า window period ถ้าหากคนผู้นั้นมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่นใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ร่วมเพศโดยที่ไม่ได้ป้องกัน เราต้องรออีก 6 เดือนเพื่อเจาะเลือดอีกครั้ง ยังมีอีกกรณีที่ต้องระวังคือเมื่อตรวจด้วยวิธี ELISA ให้ผลบวกแต่ผลการตรวจยืนยันโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assay ให้ผลบวกหนึ่งแบนกรณีนี้อาจจะเกิดจาก window period, หรือติดเชื้อด้วยเชื้อ hiv อีกชนิดหนึ่ง เช่น HIV-2 หรืออาจจะเกิดจากโรคอื่น นอกจากนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ Influenza vaccine ก็อาจจะให้ผลบวกหลอก การตรวจเลือดหาภูมิหากผลเลือดบวกโดยที่ผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อต้องทดสอบซ้ำอีกครั้ง 3. การตรวจเลือดด้วยตัวเอง วิธีการหยดเลือดไว้บนกระดาษแล้วส่งเข้าห้องปฏิบัติการ สามารถรายผลทางโทรศัพท์ มีจำหน่ายตามร้านขายยาแต่มีข้อที่ต้องระวังคือ 4. การตรวจหาตัวเชื้อ HIV โดยวิธี HIV RNA (viral load assay) จะตรวจกรณีที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเช่นถูกเข็มฉีดยาจากผู้ป่วยตำ หรือร่วมเพศกับผู้ที่ติดเชื้อโดยที่ไม่ได้ป้องกัน และตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันในเลือด การตรวจนี้จะให้ผลบวกก่อนที่ภูมิจะขึ้น แต่ก็มีข้อผิดพลาดกรณีที่พบเชื้อปริมาณน้อย การตรวจเลือดวิธีนี้จะให้ผลบวกก่อนที่ภูมิจะขึ้นเราเรียกการติดเชื้อชนิดนี้ว่า Primary HIV infection ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญในการให้ยาต้านไวรัส HIV ยาต้าน ยาต้านไวรัสเอดส์ หมายถึง ยาที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งหรือออกฤทธิ์ต้านการแบ่งตัว การยับยั้งการเกาะจับและเข้าเซลล์ (Interference with attachment and entry) ความรู้เกี่ยวกับยาต้านไวรัสเอดส์
|
|
Online: 1 | Visits: 117,331 | Today: 6 | PageView/Month: 127 |